วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประเทศในทวีปยุโรป " ประเทศรัสเซีย "




ข้อมูลทั่วไปประเทศรัสเซีย

           
         รัสเซีย (Russia) (ภาษารัสเซีย: Росси́я, Rossija) หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) (Росси́йская Федера́ция, Rossijskaja Federatsija) เป็นประเทศที่มีอาณาบริเวณตั้ง อยู่ระหว่าง 2 ทวีป คือ ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป รัสเซียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เป็นสองเท่าของอันดับสอง คือ ประเทศแคนาดา) เดิมเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดทั้งตามขนาดของพื้นที่ และตามอิทธิพลทางการเมืองในสมัยโซเวียต เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง

เมืองหลวง: มอสโก (ประชากร 10,126,424 คน)

พื้นที่: 17,075,200 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ( ใหญ่กว่าประเทศไทย ราว 33 เท่า ) โดยมีระยะทางจากด้านตะวันออกจรดตะวันตก 9,000 กิโลเมตร และจากด้านเหนือจรดใต้มีระยะทาง 4,000 กิโลเมตร

ที่ตั้ง: 55°45′N 37°37′E

เมืองใหญ่ที่สุดในประเทศ: มอสโก

ภาษาราชการ: ภาษารัสเซียและภาษาราชการอื่น ๆ ในแต่ละสาธารณรัฐย่อย

รัฐบาล: สหพันธรัฐระบบกึ่งประธานาธิบดี ประธานาธิบดี

ประธานาธิบดี: นายดมิตรี อนาโตลิเยวิช เมดเวเดฟ

นายกรัฐมนตรี: นายวลาดิมีร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน

ได้รับเอกราช: ประกาศอิสรภาพจากสหภาพโซเวียต 12 มิถุนายน พ.ศ. 2533 (วันรัสเซีย) 
เนื้อที่: ทั้งหมด 17,075,200 กม.² (อันดับที่ 1)
6,592,745 ไมล์²
พื้นน้ำ (%) 0.5
GDP (PPP) 
- รวม 1.778 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 7-9)
- ต่อประชากร 2548 ค่าประมาณ 12,254 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 54)
HDI (2550) 0.802 (อันดับที่ 67) – สูง

สกุลเงิน: รูเบิล (Russian ruble - RUR)
1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 25.57 รูเบิล (ค่าเฉลี่ยปี 2550)

ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP): 1,236.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปี 2550)

รายได้ประชาชาติต่อหัว: 13,463 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)

การขยายตัวทางเศรษฐกิจ: ร้อยละ 8.1 (ปี 2550)

เขตเวลา: ฤดูร้อน (DST) (UTC+2 ถึง +12) 



ประวัติศาสตร์รัสเซีย

     

ยุคแห่งการตั้งอาณาจักร
        ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถื่นฐานในรัสเซีย บริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักในนามวาแรนเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วในปี ค.ศ.880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟ และได้ตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนเหนือและใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus')
        ในปี ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือเครมลินขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า มอสโก
 
อาณาจักรมัสโควี
            ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกล นำโดยบาตูข่าน เข้ารุกรานรัสเซีย และยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดจากโลกภายนอก ถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และต้องจ่ายภาษีให้กับมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจมาทางตอนเหนือ
            ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่า lvan kalita หรืออีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการให้มองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) มองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมีตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโว บนฝั่งแม่น้าดอน ในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดีมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาวในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382
              จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรืออีวานมหาราช(ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ในปีค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเคนมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย
                ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับสถาปนาเป็นซาร์พระองค์แรก (ซาร์มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่าทรงรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก เมื่อหมดยุคของพระเจ้าอีวานที่ 4 ในปี ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริก และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ก็มีมติเลือกมีคาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ
 
จักรวรรดิรัสเซีย
                 ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์แต่งแต่พระชนมายุ 10 ชันษาพร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยในปีค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเทอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย
                   ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือพระเจ้าปอลที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้น ในเดือนธันวาคม เรียกกบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดนกรรมการชาวนาในปี 1905 ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน
 
สมัยสหภาพโซเวียต
                    การตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจนเกิดขึ้นทั่วเมืองในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)
                     ปี ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า The Great Patriotic War กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้
                     ปี ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22
                     ปี 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ และขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนนายอังเดร โกรมิโกรที่ลาออกในปี 1988 เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยกา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลาสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งศตวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่าง ๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation)
 
ภูมิศาสตร์ประเทศรัสเซีย
        
            ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา[3]รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[4] และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"[5] เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น[5] รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก[6]
           พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไตและทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป
           รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน[7] นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลแลปทิฟ ทะเลไซบีเรียนตะวันออก ทะเลชุกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสก์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮอกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร
 
 
วัฒนธรรมประเทศรัสเซีย
                    ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 70) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก (ร้อยละ 1.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)
 
 
สถานที่ท่องเที่ยวประเทศรัสเซีย
พระราชวังเครมลิน
 
 
        พระราชวังเครมลิน ตั้งอยู่ที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย สร้างอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำมอสควา ภายในมีพระราชวัง หอคอย และป้อมปราการ ซึ่งในอดีต เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์กษัตริย์แห่งราชวงศ์รัสเซีย แต่ได้ถูกปฏิวัต ิเป็นคอมมิวนิสต์ และได้ใช้เป็นที่ทำการรัฐบาลเครมลิน เป็นชื่อ ของนักการเมือง พอระบบสังคมนิยม ล่มสลายเป็นประชาธิปไตย ก็ได้เปิดให้เป็น แหล่งท่องเที่ยว จนถึงปัจจุบัน
 
        สถาปัตยกรรมของกรุงมอสโกนั้น พระราชวังเครมลินถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศที่สุดในยุโรปยุคกลาง คำว่า "เครมลิน" มีความหมายว่า ป้อมปราการ มีความยาวล้อมรอบ 2,235 เมตร มีหอคอย 18 แห่ง (เพื่อป้องกันการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน) โดยมีการปรับปรุงต่อเติมมาเรื่อยๆ เริ่มจากใช้อิฐสีขาวเป็นรอบรั้วกั้นกำแพงแต่ในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาเป็นอิฐสีแดง ซึ่งความสูงของหอคอยแตกต่างกันระหว่าง 28-71 เมตร เช่น
 
        ภายในพระราชวัง แห่งนี้ประกอบด้วยปราสาท โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ คลังแสง อาวุธยุทธภัณฑ์ หอคอย ป้อมปราการ หอสูง ยอดแหลม และโดมมากมาย มีกำแพงสูง 65 ฟุตรอบพระราชวัง มีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร พระราชวังจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง หอคอยอิวานเวลิกี้สูง 270 ฟุต เป็นที่แขวนระฆัง ของพระเจ้าโบริสดูนอฟ ผู้อยู่บนหอคอย จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพ กรุงมอสโก ที่สวยงาม ได้อย่างชัดเจน บรรดาหอคอย หอสูง โดม ป้อมปราการเหล่านี้ เมื่อแสงพระอาทิตย์สาดมาต้อง จะเห็นเป็นสีทอง เปล่งปลั่ง สุกอร่าม งามตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
 
            ประตูสำคัญ คือประตูโปรดชำระบาป ซึ่งพระเจ้าซาร์อะเล็กซิส โปรดให้สร้างเมื่อปีค.ศ. 1491 โปรดให้ติดโคมใหญ่ไว้บนยอดดวงหนึ่งประตูนี้เคยมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้ผู้ผ่านเข้าออกต้องถอดหมวก แสดงความเคารพ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกจับประหารชีวิต ถัดไปไม่ไกลมีมหาวิหารอัครเทวทูตซึ่งมีที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม เพื่อใช้เป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์อัสสัมชัญซึ่งสร้างไว้อย่างประณีตบรรจงเป็นพิเศษ
มหาวิหารเซนต์บาซิล
 
 
    มหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil’s Cathedral) คืออีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงมอสโก ด้วยรูปทรงที่มีลักษณะเป็นโดมรูปหัวหอม สีสันสดใส ตั้ง ตระหง่านสง่างาม ขนาบข้างด้วยกำแพงเครมลิน ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินทางสู่จัตุรัสแดงแล้วจะต้องถ่ายรูปเป็นที่ ระลึกคู่กับมหาวิหารแห่งนี้ พร้อมกับการเรียนรู้ความเป็นมาอันยาวนานของสถานที่สำคัญนี้ควบคู่กันไปมหาวิหารเซนต์บาซิลสร้างขึ้นโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 (Ivan the Terrible) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการรบชนะเหนือกองทัพของมองโกลที่เมืองคาซาน (Kazan) ในปี พ.ศ. 2095 หลังจากถูกปกครองกดขี่มานานหลายร้อยปี ออกแบบโดยสถาปนิก ปอสนิก ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงทำให้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า พระเจ้าอีวานที่ 4 ทรงพอพระทัยในความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้มาก จึงมีคำสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่สถาปนิก ผู้ออกแบบด้วยการควักดวงตาทั้งสอง เพื่อไม่ให้สถาปนิกผู้นั้นสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก การกระทำในครั้งนั้นของพระเจ้าอีวานที่ 4 จึงเป็นที่มาของสมญานาม Ivan The Terrible หรืออีวานมหาโหด นั่นเอง
 
สิ่งที่ควรชม
- โดมรูปหัวหอม ที่มีหลากหลายสีสันสดใสสวยงามมีหลายขนาด เป็นโดม 9 แห่งที่รวมอยู่ด้วยกันได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน เป็นรูปแบบศิลปะจากจินตนาการจากเทพนิยายซึ่งเป้นพระบรรชาของพระผู้เป็นเจ้า หรือแรงบรรดาลใจจากเทพเจ้าบนสวรรค์
 
- ภาพรูปเคารพในโบสถ์กลาง (Main Iconostasis) เป็นภาพพระเยซูและสาวกคนสำคัญ และมีรวดลายฝังหินขัดเรียบที่มีสีสันสวยงามวิจิตรบรรจงมาก เป็นผลงานชิ้นเอกในสไตล์บารอก อายุราว 200 ปี บางภาพก็มากกว่านั้น
 
 - อนุสาวรีย์ คอสมา มินิน และ ดมิทริ โปซาร์สกี้ (Kuzma Minin and Dmitry Pozharsky) หล่อด้วยทองสำริดโดย Ivan Martos ทั้ง 2 คนเป็นผู้นำกองกำลังอาสาสมัครต่อสู้ผู้รุกรานชาวโปล (Ploes) ออกจากเขตเครมลินในปี พ.ศ. 2361 หลังจากได้รับชัยชนะจากสงครามนโปเลียน (พ.ศ. 2348 เกิดสงครามกับฝรั่งเศส รัสเซียมีชัยชนะในการรบที่ออสเตอร์ลิสส์ (Austerlitz) พ.ศ. 2355 นโปเลียนบุกเข้ามอสโก แต่ตีไม่สำเร็จจึงต้องล่าถอยออกไป)
 
    บริเวณใกล้กันกับมหาวิหารเซนต์บาซิล เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานเลนินหรือสุสานเลนิน ซึ่งยังคงเก็บรักษาร่างของวลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำคนสำคัญของคอมมิวนิสต์ และเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปเคารพศพได้
 
    แรกเริ่ม ตั้งอยู่ตรงกลางจตุรัสแดง หันหน้าเข้าหาว้งเครมลิน ต่อมาในยุคคอมมิวนิสต์โซเวียตได้มีการย้ายมาอยู่ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์บาซิล เปิดตั้งแต่ 11.00-19.00 น. วันพุธและวันพฤหัสบดี เปิดถึง 18.00 น. ปิดทุกวันศุกร์

พระราชวังฤดูร้อน
 
 
    พระราชวังฤดูร้อนปีโตรเดอร์วาเรส เป็นพระราชวังที่สวยงามไม่เหมือนใคร ตั้งอยู่ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย พระราชวังฤดูร้อนเปโตรควาเรสต์ (ปีเตอร์ฮอฟ) ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลบอลติก เป็นพระราชวังของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตัวอาคารพระราชวังสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีน้ำพุมากกว่า 100 แห่ง การเข้าชมพระราชวังจะต้องนำถุงเท้าที่จัดเตรียมไว้ให้ สวมคลุมรองเท้าอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นของพระราชวังเสียหาย 
 
    พระราชวังฤดูร้อนปีโตรเดอร์วาเรส เป็นที่หนึ่งของความใหญ่โตที่สุดในรัสเซีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดประเพณีแห่งสากล รวมทั้งความสำเร็จ ความกล้าหาญและความเก่งกาจ ด้วยตัวอย่างของกลุ่มสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและกลุ่มวิศวกรรมที่สอดสานความงามของศิลปะเข้ากับภูมิประเทศที่สวยงาม ประวัติความเป็นมาในการสร้างพระราชวังปี
 
     โตรเดอร์วาเรสกล่าวคือ พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชในปีค.ศ. 1705 เป็นพระตำหนัก ของกษัตริย์รัสเซีย โดยทำการสร้างให้ติดกับชายฝั่งเพื่อใช้ในการพักผ่อนและล่าสัตว์ในฤดูร้อน โดยปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชซึ่งประกอบด้วย พระราชวัง น้ำพุ สวนตอนล่างและสวนตอนบน เดิมทีในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงเสด็จประพาสยุโรปในปี ค.ศ. 1717 ท่านได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) แห่งฝรั่งเศสและได้ทรงประทับใจในความสวยสดงดงามจึงได้ทรงให้นำมาร่างเป็นภาพเพื่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ โดยอดีตนั้นให้สร้างเป็นพระราชวังขนาดเล็ก แต่ต่อมาสมัยพระนางอลิสซาเบธมีการปรับปรุงและขยายออกไปให้เป็นศิลปะบารอกใน ปีค.ศ 1759 ทำให้พระราชวังปีเตอร์ฮอฟมีความสวยงามมากกว่าเดิม ด้วยการออกแบบของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงผู้ที่ออกแบบ
 
    พระราชวังฤดูร้อน วังเปโตร ดวาเรียส หลังจากทรุดโทรมไปในช่วงสงครามโลกที่ 2 สมัยเยอรมันยึดครอง ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่จนเกือบสมบูรณ์แบบ เปโตร ดวาเรียส (ปีเตอร์ฮอฟ) พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ตั้งอยู่อ่าวฟินแลนด์ ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตก 29 กิโลเมตร โดดเด่นเป็นพิเศษ คือ น้ำพุอลังการ (ปิดในฤดูหนาว)เดิมทีพระเจ้าปีเตอร์มหาราช สร้างวังนี้ในปี 1720 ตามแบบเรียบง่ายของสถาปนิก ฌอง บัฟติสต์ เลอบลองด์ ที่เห็นวิจิตรโอ่อ่าในขณะนี้เป็นการตกแต่งเพิ่มเติมโดยซาลีน่าอลิธซาเบธ ร่องรอยสไตล์บาร็อกเดิมอันงดงามของพระเจ้าปีเตอร์และเลอบลองด์ยังคงมีให้ เห็น ปีเตอร์ฮอฟ สร้างอยู่บนทำเลงามบนเนินธรรมชาติดุจดัง แวร์ซายส์ริมทะเล การสร้างน้ำพุซับซ้อนบนเนินดินเลนชื้นแฉะเป็นเรื่องที่ยากมากในสมัยนั้น ด้านหน้าของพระตำหนักคือ สวนน้ำซึ่งมีบันใดน้ำตกใหญ่เป็นส่วนที่เด่นที่สุด พร้อมรูปปั้นแซมซันฉีกปากสิงโตด้วยมือเปล่า


เขตการปกครองรัสเซีย
            เขตการปกครองไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐ ดินแดน ฯลฯ ทั้งหมดถูกจัดอยู่ใน 7 เขตสหพันธ์ (federal districts) แต่ละแห่งบริหารโดยผู้ว่าราชการเขต ซึ่งประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซียเป็นผู้แต่งตั้ง
  1. เขตสหพันธ์กลาง (Central Federal District)
  2. เขตสหพันธ์ใต้ (Southern Federal District)
  3. เขตสหพันธ์ตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwestern Federal District)
  4. เขตสหพันธ์ตะวันออกไกล (Far Eastern Federal District)
  5. เขตสหพันธ์ไซบีเรีย (Siberian Federal District)
  6. เขตสหพันธ์อูรัลส์ (Urals Federal District)
  7. เขตสหพันธ์วอลกา (Volga Federal District)
ที่มา http://www.abroad-tour.com/russia/russia.html

ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก

10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก 

1. Portrait of Dr. Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000) 

ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr. Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ชาวดัทช์ 
         นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูปเขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส





2. Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000) 


Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน






 3. Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000) 


Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย



ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียงของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง





4. Dora Maar au Chat by Pablo Picasso ($95,216,000) 


Dora Maar au Chat (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอกชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลได้ไป





5. Irises by Vincent van Gogh ($78,400,000) 

ภาพดอก Irises วาดโดย Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในขณะที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในสถานพักฟื้น Saint Paul-de-Mausole ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890


  ในปี 1987 ภาพนี้ได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก เมื่อมันถูกขายไปในราคาสูงถึง $ 54,000,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยนาย Alan Bond แต่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายได้จึงต้องมีการประมูลขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Getty Museum ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา





  6. Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000) 


ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby





7. Les Noces de Pierrette by Pablo Picasso ($72,697,000) 


Les Noces de Pierrette ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส






8. Portrait de l'Artiste sans Barbe by Vincent van Gogh ($ 71,690,000) 


Portrait de l'artiste sans barbe ("Self-portrait without beard") หรือ ”ภาพเหมือนที่ไม่มีเครา” หนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี 1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")

      Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998






9. Rideau, Cruchon et Compotier by Paul Cezanne ($70,140,000)

Rideau, Cruchon et Compotier ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894 Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริง

ภาพนี้ถูกประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sotheby เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง






10. Femme aux Bras Croises by Pablo Picasso ($52,851,000)

Femme aux Bras Croises (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่ Picasso นิยมใช้ในยุคนี้

ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000






ที่มา http://www.pantown.com/board.php?id=1892&name=board7&topic=22&action=vie

เพลง Starry Starry Night

Starry Starry Night



                             MV. starry night


เนื้อเพลง starry starry  night

Starry, starry night
Paint your palette blue and grey
Look out on a summer's day
With eyes that know the darkness in my soul
Shadows on the hills
Sketch the trees and daffodils
Catch the breeze and the winter chills
In colours on the snowy linen land

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

Starry, starry night
Flaming flowers that brightly blaze
Swirling clouds and violet haze
Reflect in Vincent's eyes of china blue
Colours changing hue
Morning fields of amber grain
Weathered faces lined in pain
Are soothed beneath the artists' loving hand

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They did not know how
Perhaps they'll listen now

For they could not love you
But still your love was true
And when no hope was left inside
On that starry, starry night
You took your life as lovers often do
But I could have told you Vincent
This world was never meant for one as beautiful as you

Like the strangers that you've met
The ragged men in ragged clothes
The silver thorn of bloody rose
Lie crushed and broken on the virgin snow

Now I think I know
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free
They would not listen
They're not listening still
Perhaps they never will...



เนื้อเพลงแปล

ในคืนที่ดาวส่อง แสงเต็มท้องฟ้า 
ป้ายสีสันทั้งน้ำเงินลึกลับและเทาหม่น 
มองกลับไปในวันอันแสนระอุของฤดูร้อน 
ด้วยสาย ตาที่ซึ้งถึงความหม่อนหมองในจิตใจ 

เงาทาทาบบนเนินเขา 
ขีดเส้นสายรูปต้นไม้และดอกแดฟโฟดิล 
ไล่จับเอาสายลมอ่อนและความเฉยเมยแห่งฤดูหนาว 
ลงสีสันสดสวย บนผื้นผ้าใบขาวดุจหิมะ 

ตอนนี้ ฉันเข้าใจ 
ถึงสิ่งที่เธอพยายามบอกฉัน 
ได้รับรู้ถึงความอดทนในสิ่งที่เธอยึดมั่น 
และรู้ว่าเธอเหนื่อยแค่ไหน ที่จะให้พวกเขาเป็นอิสระ 
พวกเขาไม่เคยเปิดใจรับฟังเธอ จึงไม่เคยเข้าใจเธอ 
แต่บางที พวกเขาอาจจะกำลังเข้า ใจ 


ในคืนที่ดาวกระจ่างฟ้า 
ดอกไม้สีแดง ส่องแสงสดใส 
กลุ่มเมฆน้อยใหญ่หมุนวน ในรัติกาลสีม่วง 
สะท้อน สู่สายตาของ Vincent 
สีสัน กำลังจะเปลี่ยนไป 
ยามเช้าแห่งท้องทุ่งของรวง ข้าวสีทองอร่ามกำลังจะมา 
การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเสมือนความเจ็บปวดในหัวใจ 
แต่ถูกดับลงได้ภายใต้หัตถ์ แห่งศิลปินเอก 

ตอนนี้ ฉันเข้าใจ 
ถึงสิ่งที่เธอพยายามบอกฉัน 
ได้รับรู้ถึงความอดทนในสิ่งที่ เธอยึดมั่น 
และรู้ว่าเธอเหนื่อยแค่ไหนที่จะให้พวกเขาเป็นอิสระ 
พวกเขาไม่เคยเปิดใจรับฟังเธอ จึงไม่เคยเข้าใจ เธอ 
แต่บางที พวกเขาอาจจะกำลังเข้าใจ 

สำหรับพวกเขาที่ไม่อาจรักเธอ 
แต่เธอก็ยังคงมอบ รักแท้ด้วยหัวใจ 
จนกระทั่งหวังนั้นมลายหายไป 
โอ้ ในคืนที่ดาวส่องประกายระยิบ 
เธอใช้ชีวิตอย่างคนที่ ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก 
แต่ฉันต้องบอกเธอ..Vincent 
โลกใบนี้ช่างไร้ค่าไร้ความหมาย 
สำหรับคนที่สวย งามอย่างเธอ 

คืนที่แสงดาวส่องประกาย 
ภาพวาดที่แขวนอยู่บนข้างฝา 
ภาพที่ไร้กรอบ บน ผนังที่ไร้ชื่อ 
ด้วยสายตาที่เธอมองโลกใบนี้ ไม่อาจลืมได้ 
เหมือนคนแปลกหน้าที่เธอได้พบพาน 
คนตลกใน อาภรณ์ที่แสนตลก 
หนามแหลมสีเงินกับกุหลาบสีเลือด 
ความพ่ายแพ้และใจที่สลาย เธอถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบ ขาว 

ตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจเธอแล้ว 
ซาบซึ้งถึงสิ่งที่เธอพยายามจะบอกฉัน 
ได้รับรู้ถึงความ อดทนในสิ่งที่เธอยึดมั่น 
และรู้ว่าเธอเหนื่อยแค่ไหนที่จะให้พวกเขาเป็นอิสระ 
พวกเขาไม่เคยเปิดใจรับฟังเธอ และยัง คงจะไม่รับฟัง 
บางที พวกเขาก็ไม่คิดจะรับฟังเธอเลยก็เป็นได้ 


 ที่มา http://www.esnips.com/doc/8afbeadc-d4ac-47a3-9181-883208e06182/Don-mclean--vincent

กีฬามาราธอน กีฬาโอลิมปิก


กีฬามาราธอน และ กีฬาโอลิมปิก


กีฬามาราธอน 


     กีฬาวิ่งระยะไกล นับเป็นอีกกีฬาหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้แข่งขันได้พัฒนาสุขภาพอนามัยไปสู่คุณสมบัติสูงสุดที่มนุษย์พึงมี กีฬาวิ่งระยะไกลที่สุดที่มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการ และบรรจุอยู่ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก คือการวิ่งมาราธอน(Marathon running)
         การวิ่งมาราธอน (Marathon) เป็นการวิ่งระยะไกล (Long-distance running) ที่มีระยะ 42.195 กิโลเมตร หรือ 26ไมล์ 385 หลา โดยทั่วไปเป็นการวิ่งบนผิวถนน (Road race) เป็นกิจกรรมการวิ่งที่เฉลิมฉลองให้กับทหารกรีกโบราณที่ชื่อ ฟิดิปปิเดซ” (Pheidippides) ผู้วิ่งส่งสารสงครามแห่งมาราธอน (Battle of Marathon) ไปยังกรุงเอเธน แล้วเสียชีวิตด้วยความเหนื่อยอ่อน

ประวัติความเป็นมา (Origin)

ภาพวาด โดย ลุค โอลิเวอร์ เมอร์ซัน (Luc-Olivier Merson) เมื่อฟิดิปปิเดซ(Pheidippides)
ผู้ทำหน้าที่วิ่งนำข่าวชนะสงครามที่เมืองมาราธอน (Battle of Marathon) มาแจ้งแก่ประชานชาวเอเธนส์ (Athens)

 ชื่อการแข่งขันวิ่งมาราธอน มาจาก Marathon อันเป็นตำนานของ ฟิดิปปิเดซ” (Pheidippides) ผู้ทำหน้าที่ส่งสารชาวกรีก ตามตำนานมีอยู่ว่า เขาถูกให้มาส่งสารสงครามที่มาราธอน (battlefield of Marathon) แก่ชาวเอเธน เพื่อประกาศว่าทัพของเปอร์เซีย (Persians) ได้พ่ายแพ้ในการสู้รบกับกรีก ช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้คือประมาณเดือนกันยายน 490 ปีก่อนคริสตกาล ตำนานบอกว่า เขาวิ่งตลอดระยะทางนั้น โดยไม่ได้หยุดพักจนมาแจ้งข่าวแก่ที่ประชุม โดยกล่าวคำว่าνικωμεν’ (nikomen) แปลว่า เราได้ชนะสงครามแล้ว” ก่อนที่เขาจะตายไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
        ตำนานเล่าขานนี้ปรากฏใน เกียรติศักดิ์แห่งเอเธน” (The Glory of Athens)ในช่วงศตวรรษแรกหลัง คริสตกาล ซึ่งในขณะนั้น ซึ่งได้กล่าวอ้างในงานของHeraclides Ponticus ซึ่งบอกว่าชื่อนักวิ่งว่า เธอซิปุส (Thersipus) แห่ง เออคิอุส (Erchius) หรือ ยูคลิส (Eucles) ซึ่งไม่ใช่ชื่อ Philippides หรือPheidippides
ส่วนงานเขียนของ ลูเซียน แห่ง ซาโมซาตา” (Lucian of Samosata) ได้ให้ชื่อนักวิ่งนี้ว่า Philippides ไม่ใช่Pheidippides  แปลจาก Wikipedia

             มาราธอน หมายถึง ระยะ 26 ไมล์ 385 หลา แต่ทางแถบเอเซียนิยมใช้เป็น 42.195 กม.

 วิ่งบนถนนทั่วไป (Road Races) คือระยะที่อาจมากหรือน้อยกว่ามาราธอน (Mini Marathon) จะเป็นระยะกี่กิโลก็ตาม แม้แต่ที่เรียกกันว่า ครึ่งมาราธอน (21.100 กม.) ก็เรียกมินิได้เช่นกัน ส่วนคำว่า ซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอน ( ซูเปอร์ครึ่งมาราธอน ที่บางคนเข้าใจว่าเป็นระยะมากกว่าครึ่งมาราธอน เช่น 25-30 กม. ความจริงคำว่า ซูเปอร์ฮาล์ฟนี้ฝรั่งไม่รู้จัก พี่ไทยเราตั้งกันเองตามประสาสิบล้อครีเอท แต่ถ้าเป็นระยะที่ยาวกว่ามาราธอน ( 42.195 ) เขาเรียก "Ultramarathon "มักจะมีมาตราฐานไว้ที่ 100 กม. มีการจัดบ่อยในยุโรป ส่วนใหญ่แชมป์จะทำเวลาอยู่ประมาณ 6.30-7 ชม.
      AIMS มีสมาชิกที่เป็นสนามวิ่งอยู่ทั้งหมดทั่วโลก ปัจจุบัน 55 ประเทศ ประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นสนามแข่งขัน166 แห่ง สนามวิ่งในประเทศเราที่เป็นสมาชิกของ AIMS มีอยู่ สนาม คือ " กรุงเทพมาราธอน" สนามวิ่งที่เป็นสมาชิกของAIMS จะต้องได้รับการพิสูจน์วัดระยะของเส้นทางแข่งขันในระยะที่ถูกต้องตรงตามมาตราฐานวัดที่สุด กรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางแข่งขันเดิมเลย เมื่อครบ ปี ผู้แทนฝ่ายเทคนิคของ AIMS ซึ่งปัจจุบันร่วมมือกันกับ IAAF ( International Amateur Atheletic Federation ) จะต้องทำการพิสูจน์วัดเส้นทางใหม่ นอกจากดูแลเคร่งครัดเกี่ยวกับความเที่ยงตรงของเส้นทางแข่งขันแล้ว AIMS ยังควบคุมดูแลโครงสร้างการจัดงานที่ได้มาตรฐานอื่น ๆ อีกด้วย

การแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งแรกของโลก
     ปี 1896 ในโอลิมปิคเกมส์ จัดที่เอเธนในระยะทาง 24 ไมล์ 1500 หลา ผู้ชนะในครั้งนั้น เป็นชาวกรีกนั่นเอง คือ สปิริดอน หลุย ( Spyridon Louis ) ทำเวลา2.58.50 ชม.
    ชื่อของ สปิริดอน เป็นประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเรามักจะเห็นตัวผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับกีฬานำเอาคำว่า "Spyridon" ไปใช้ เช่น ชื่อบริษัทเกี่ยวกับกีฬา ฯลฯ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา

ระยะทาง Marathon ถูกเปลี่ยนแปลง
    ปี 1908 มีการจัดโอลิมปิคเกมส์ ที่ London ระยะทางเดิมถูกปรับให้ยาวออกไปเป็น 26 ไมล์ 385 หลา ( 42.195 กม.) ด้วยเหตุผลที่คณะกรรมการยินยอมกำหนดเส้นชัยอยู่ตรงหน้าพระพักตร์เจ้าหญิงพอดี และต่อจากนั้นมาได้ยึดระยะนี้เป็นมาตราฐานจนถึงปัจจุบัน ผู้เป็นแชมป์คนแรกในระยะ 42.195 กม. นี้คนแรกคือ จอห์น เฮย์ (John Hayes) นักวิ่งอเมริกัน ทำเวลา 2.55.18 ชม.

การแข่งขันวิ่งมาราธอนสำหรับประชาชนทั่วไปครั้งแรกในโลก

    ทันทีที่มีการแข่งขันวิ่งมาราธอนในโอลิมปิคเกมส์ที่เอเธนปี ค.ศ. 1896 เมือง "บอสตัน" ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ริเริ่มจัดให้มีการแข่งขัน "วิ่งบอสตันมาราธอน" (Boston Marathon) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1897 ใช้กฎกติกาการแข่งขันเหมือนโอลิมปิค เพียงแตกต่างกันที่เปิดโอกาสให้นักวิ่งประชาชนทั่วไปเข้าแข่งได้ "บอสตันมาราธอน" จึงกลายเป็นงานวิ่งมาราธอนประเพณีประจำเมืองที่มีอายุมากที่สุดในโลก จนถึงปัจจุบัน 115 ปี และจัดต่อเนื่องกันมามิได้ขาด

ภาพ การวิ่งมาราธอน ที่เบอร์ลิน ปี ค.ศ. 2007


กีฬาโอลิมปิก

      ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา โอลิมปัส” ในประเทศกรีซ โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน เพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชาย ห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้น สถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันลงมาที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่แข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้ มี ประเภท คือ วิ่งกระโดดมวยปล้ำพุ่งแหลน และขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง ๆ จะต้องเล่นทั้งประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐ ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า


      การแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส ที่เดิมเป็นประจำทุก ๆ สี่ปี และถือปฏิบัติติดต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่ จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้ว จึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อ ๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรก ๆ นี้กรีฑา ประเภทดังกล่าวที่จัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า เพ็นตาธรอน หรือ ปัญจกรีฑา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนไปตามเวลา



      การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) จักรพรรดิธีโอดอซิดุชแห่งโรมันได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นเสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม คือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรลซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันนี้เสีย

  • ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้น ณ บริเวณที่แห่งเดียว คือ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่ว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก


โอลิมปิกสมัยใหม่ 

  • หลังจากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่ก็เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงปารีส เมื่อ มกราคม พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863)สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคม ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ.393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ,สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นเวลาถึง ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการขึ้น ที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) และประกาศ ณ ที่นั้นว่า การแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้พื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้น ได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส


  • คณะกรรมการผู้ริเริ่ม ได้ลงมติว่า ให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด ปีต่อ ครั้ง โดยให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ ใน พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมา การแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุก ๆ ครั้ง ให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง





โอลิมปิกฤดูร้อน

  • กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน หรือ โอลิมปิกเกมส์ เป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศที่จัดขึ้นทุก ปี จัดขึ้นโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) กีฬาโอลิมปิกเป็นกีฬาที่มีเกียรติมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลกก็ตาม โดยการแข่งขันฟุตบอลโลกมีผู้ชมมากกว่า โดยมีเหรียญรางวัลเป็นเครื่องตัดสิน ผู้ชนะเลิศนั้ได้เหรียญทอง อันดับสองได้เหรียญเงิน และอันดับสามได้เหรียญทองแดง โดยถือการมอบเหรียญนี้เป็นประเพณีตั้งแต่ปี 1904

  • การแข่งขันนั้นเริ่มต้นครั้งแรกด้วยกีฬาเพียง 42 ประเภท ด้วยนักกีฬาเพียง 250 คน จนมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงมากกว่า10,000 คน ของนักกีฬาชายและหญิงจาก 202 ประเทศทั่วโลก คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008ที่ปักกิ่ง คาดการณ์ว่าจะมีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันประมาณ 10,500 คน เข้าชิงชัยใน 302 รายการ ในขณะที่กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 ที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ประมาณการไว้ว่าจะมีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันประมาณ 10,500 คน แต่ก็เกิดการคลาดเคลื่อนขึ้นเพราะมีผู้เข้าแข่งขันกว่า 11,099 คน ใน 301 รายการแข่งขัน

  • นักกีฬาถูกส่งเข้าแข่งขันโดยคณะกรรมการโอลิมปิกของประเทศต่าง ๆ (NOC-National Olympic Committee) เพื่อแสดงจำนวนพลเมืองในบังคับของประเทศตน เพลงชาติและธงชาติประกอบพิธีมอบเหรียญ และตารางแสดงจำนวนเหรียญที่ชนะ โดยถูกใช้อย่างกว้างขวางในบางประเทศ โดยปกติแล้วเฉพาะประเทศที่ได้รับการรับรองเท่านั้นที่จะมีผู้แทนได้ แต่มีแค่เพียงประเทศมหาอำนาจบางประเทศเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วม

โดยมีเพียง ประเทศที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อนทุกครั้ง ได้แก่ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร กรีซ และสวิตเซอร์แลนด์ และมีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ชนะและได้รับเหรียญทองอย่างน้อย เหรียญจากการแข่งขันทุกครั้ง คือ สหราชอาณาจักร โดยได้รับตั้งแต่ เหรียญทอง ในปี 1904 1952 และ 1996 จนถึงได้รับ 56 เหรียญทอง ในปี 1908